วัดแก้วทับตีเหล็ก
ที่ตั้ง |
---|
วัดแก้วทับตีเหล็ก ตั้งอยู่ที่ตำบลทับตีเหล็ก อำเภอเมืองสุพรรณบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ทิศเหนือติดแม่น้ำท่าจีน ทิศใต้จรดถนนสาย 3318 สุพรรณบุรี-เก้าห้อง |
ประวัติวัด |
---|
วัดแก้วทับตีเหล็ก ตั้งเมื่อ พ.ศ. 2415 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2495 เสนาสนะประกอบ ด้วยพระอุโบสถ กว้าง 8 เมตร ยาว 22 เมตร สร้าง พ.ศ. 2492 ศาลาการเปรียญกว้าง 18 เมตร ยาว 28 เมตร เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก หอสวดมนต์ กว้าง 16 เมตร ยาว 18 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2502 เป็นอาคารไม้ นอกจากนี้ยังมีกุฏิสงฆ์ |
สถานที่ที่มีจิตรกรรมฝาผนัง |
---|
หอสวดมนต์เป็นอาคารทรงไทยประเพณี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันทำเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ ล้อมด้วยลายกระหนก ที่ชายคาของหอสวดมนต์มีจิตรกรรมบนแผ่นไม้เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาวมีรองพื้นฝีมือช่างพื้นบ้านเรื่องเวสสันดรชาดก จำนวน 12 ภาพ จิตรกรรม 4 ภาพที่อยู่ทางทิศตะวันตกและทิศเหนือวางภาพห่างออกจากกันและเนื้อหาบางแผ่นขาดหายไป แสดงให้เห็นว่าภาพชุดนี้อาจถูกรื้อลงมาจากสถานที่ที่ประดับไว้เดิมและนำมาติดตั้งใหม่ ขนาดความยาวและจำนวนภาพจึงไม่พอดีกัน จากการสำรวจของวรรณิภา ณ สงขลาและคณะ พ.ศ. 2529 ที่ได้สืบสอบถามผู้สูงอายุในชุมชนขณะนั้นพบว่า เดิมจิตรกรรมอยู่ในศาลาการเปรียญหลังเก่าที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2469 ผู้เขียนคือ นายอู๋ ต่อมา พ.ศ. 2518 อาจารย์หวัน เจ้าอาวาสได้รื้อศาลาการเปรียญสร้างใหม่เป็นอาคารเครื่องก่อ และย้ายห่างจากพระอุโบสถออกมาทางทิศใต้เล็กน้อย เมื่อสร้างเสร็จได้นำไม้กระดานคอสองศาลาหลังเก่าขึ้นไปประดับไว้ที่ศาลาหลังใหม่เพื่อรักษาจิตรกรรมโบราณไม่ให้สูญไป ปัจจุบันศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ และกุฏิพระถูกสร้างเชื่อมต่อกัน สามารถเดินทะลุถึงกันได้โดยรอบ |
จิตรกรรมฝาผนัง |
---|
โครงสีที่ใช้ในงานจิตรกรรมโดยรวมเป็นสีมืดคล้ำ วรรณะเย็น โดยเฉพาะส่วนที่เป็นฉากทิวทัศน์ เช่น สีน้ำตาล-เทา สีเขียวขี้ม้า หากเป็นฉากอาคารบ้านเรือนจะใช้โทนสีสว่าง เช่น สีขาว สีเหลือง และไม่มีการปิดทองคำเปลวแต่ใช้สีเหลืองแทนสีทอง ตัวภาพบุคคลที่เป็นตัวเอกมีขนาดใหญ่ ตัวพระตัวนางแสดงการเก็บรายละเอียดแบบจิตรกรรมไทยประเพณี การเขียนภาพมีระยะใกล้-ไกล ด้านใต้ภาพมีตัวอักษระบุชื่อกัณฑ์และจำนวนคาถา คณะผู้วิจัยลำดับแผนผังจิตรกรรม ดังนี้ หมายเลข 1 : พระนางผุสดีอัครมเหสีมาขอพรจากพระอินทร์เมื่อถึงคราวจะสิ้นบุญจากสวรรค์ ด้านข้างเป็นเหล่าเทพยดา ฉากหลังเป็นปราสาทลอยอยู่บนสวรรค์ มีตัวอักษรใต้ภาพ “กัณที่ 1 ทศพร 19 พระคาถา” หมายเลข 2 : ด้านขวาเป็นภาพชูชกเดินอยู่ในป่านำนางอมิตดามาเป็นภรรยา ด้านซ้ายเป็นกลุ่มบ้านเรือน มีเค้าลางของต้นกล้วยปรากฏในภาพ มีตัวอักษรใต้ภาพ “กัณฑ์ที่ 5 ชูชกพานาง 79 พระคาถา” ข้อสังเกต กัณฑ์ที่ 2 หายไปซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญตอนพระเวสสันดรยกช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้กับพราหมณ์ที่มาทูลขอ หมายเลข 3 : เป็นฉากในป่า พระเวสสันดรยกราชรถเทียมม้าให้กับพราหมณ์ที่มาทูลขอ มีตัวอักษรใต้ภาพ “กรรณฑ์ที่ 3 ทานกรรณฑ์ 209 พระคาถา” หมายเลข 4 : เป็นฉากในป่า พระเวสสันดรพาพระนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี เดินทางด้วยพระบาทเข้าสู่เขาวงกต ตัวอักษรใต้ภาพ “กรรณฑ์ที่ 4 วันนะประเวสน์ 57 พระคาถา” หมายเลข 5 : จิตรกรรมส่วนใหญ่ถูกบัง เหลือเพียงภาพด้านขวาพอมองเห็นภาพชูชกถามทางจากชายคนหนึ่งที่ถือหน้าไม้น่าจะหมายถึงการถามทางไปอาศรมพระเวสสันดรจากพรานเจตบุตร มีตัวอักษรใต้ภาพ “กัณฑ์ที่ 6 จุลพน 35 พระคาถา” หมายเลข 6 : ด้านซ้าย ภาพชูชกนั่งคุยกับอัจจุตฤษีที่บรรณาศาลา ด้านขวา ฤษีชี้บอกทางไปอาศรมของพระเวสสันดร มีตัวอักษรใต้ภาพ “กรรณฑ์ที่ 7 มะหาพน 80 พระคาถา” หมายเลข 7 : จิตรกรรมเล่า 3 ฉาก ด้านซ้ายพระเวสสันดรเรียกพระกัณชาและพระชาลีให้มาจากสระน้ำ ตรงกลางพระเวสสันดรหลังน้ำประสานสองกุมารให้ชูชก ด้านขวาชูชกผูกสองกุมาร โบยตีด้วยไม้และนำตัวไปจากอาศรม มีตัวอักษรใต้ภาพ “กัณฑ์ที่ 8 กุมาร 101 พระคาถา” หมายเลข 8 : พระนางมัทรีประทับนั่งพนมมืออ้อนวอนนเหล่าเสือเหลืองราชสีห์ที่มาขวางไม่ให้พระนางเดินทางกลับถึงอาศรมมีตัวอักษรใต้ภาพ “กรรณฑ์ที่ 9 มัดทรี 90 พระคาถา” หมายเลข 9 : พราหมณ์มาทูลขอพระนางมัทรีจากพระเวสสันดร มีตัวอักษรใต้ภาพ “กรรณฑ์ที่ 10 สักกะบรรพ 43 พระคาถา” สังเกตว่าพราหมณ์ในฉากนี้ไม่ได้รูปกายสีเขียวทั้งที่เป็นพระอินทร์ที่แปลงกายลงมา หมายเลข 10 : เป็นฉากในป่า เล่า 2 ฉาก ด้านซ้ายเป็นตอนที่ชูชูกฉุดลากสองกุมาร ด้านขวาเทพบุตรและเทพธิดาแปลงกายมาดูแลพระกัณหาและพระชาลีในยามค่ำคืนในขณะที่ชูชกผูกเปลนอนบนต้นไม้ ตัวอักษรใต้ภาพ “กัณฑ์ที่ 11 มะหาราช 29 พระคาถา” หมายเลข 11 : ตรงกลางภาพเป็นกษัตริย์ทั้งหกต่างร่ำไห้เมื่อได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ด้านซ้ายมีกองทหารนั่งล้อมรอบ ด้านขวาเป็นเหล่านางสนมและกองทหารบ้างแสดงอการโศกศร้า มีตัวอักษรใต้ภาพ “กรรณฑ์ที่ 12 ฉอกระษัตริย์ 36 พระคาถา” หมายเลข 12 : เป็นแถวขบวนเสด็จของกษัตริย์ทั้งหกบนหลังช้างกลับคืนพระนคร บางส่วนของภาพถูกบดบังด้วยเครื่องเสียง มีตัวอักษรใต้ภาพ “กรรณฑ์ที่ 13 นะครกรรณฑ์ 48 พระคาถา” เมื่อพิจารณาเทคนิคการเขียนฉากหลังที่แสดงเส้นขอบฟ้าชัดเจน มีการวาดต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อให้พอเหมาะกับสัดส่วนบุคคล รวมทั้งวาดภาพต้นไม้และบุคคลมีขนาดใหญ่-เล็กเพื่อแสดงระยะใกล้-ไกล การเขียนภาพสถาปัตยกรรมด้วยมุมแบบมีจุดรวมเส้นตายตา (Vanishing Point) แต่ยังคงพยายามเขียนตัวละครหลักให้เป็นแบบนาฏลักษณ์และไทยประเพณี ประกอบกับประวัติการสร้างศาลาใน พ.ศ. 2469 ทำให้กำหนดอายุจิตรกรรมที่หอสวดมนต์ในเวลาเดียวกันคือ พ.ศ. 2469 |
เอกสารอ้างอิง
กรมการศาสนา. (2545). ประวัติวัดทั่วพระราชอาณาจักร เล่ม 21. กรุงเทพฯ: กรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ.
กรมศิลปากร. (2533). จิตรกรรมไทยประเพณี หนังสือชุดที่ 001 เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
ข้อมูลที่เผยแพร่ในเว็บไซต์นี้ เป็นผลจากการศึกษาวิจัย เรื่อง การศึกษาจิตรกรรมฝาผนังจังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวบนฐานเศรษฐกิจชุมชน ดำเนินการวิจัย โดย … รองศาสตราจารย์ ดร.เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บรรพต พิจิตรกำเนิด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐิติยา เนตรวงษ์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต |