โครงการวิจัยสนับสนุนงานมูลฐาน ปีงบประมาณ 2568
(Fundamental Fund)

การเดินทางเสมือนจริงเพื่อสืบสานและเรียนรู้ทุนทางวัฒนธรรม
เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

วัดเทวราชกุญชร

หน้าแรก
ที่มาของโครงการ
วัตถุประสงค์
ประโยชน์ของโครงการ
ทีมผู้วิจัย
 
 
แบบประเมินความพึงพอใจ

 

ที่มาของวัด วัดเทวราชกุญชร เป็นวัดโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเป็นวัดราษฎร์ ชาวบ้านเรียกว่า “วัดสมอแครง” เล่ากันว่าเพราะมีต้นสมอร่องแร่งมาก บ้างก็สันนิษฐานว่า “สมอ” เพี้ยนมาจากคำว่า “ถมอ” (ถะมอ) เป็นภาษาเขมร แปลว่า “หิน” วัดนี้คงเรียกกันครั้งแรกว่า “ถมอแครง” ซึ่งแปลว่า “หินแกร่ง” สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ต่อมาสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี พระโอรสของสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีของรัชกาลที่ 1 (ต้นสกุลมนตรีกุล) ทรงดำริให้สร้างพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4.35 เมตร สูงตั้งแต่ทับเกษตรถึงยอดเปลวรัศมี 5.65 เมตร ฝีมือช่างสมัยทวารวดี เป็นองค์ประธาน นิยมถวายผ้าไตรแทนดอกไม้ ธูป เทียน เพราะเชื่อว่าจะสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในการกราบขอพรเป็นเท่าทวีคูณ ครั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาเป็นพระอารามหลวง และพระราชทานนามว่า “วัดเทวราชกุญชร” โดยคำว่า “เทวราช” แปลว่า “พระอินทร์” มานำหน้าพระนามของพระองค์เจ้ากุญชร ซึ่งแปลว่า “ช้าง” รวมความแล้วแปลว่า “ช้างพระอินทร์” ปัจจุบันกรมศิลปากรจดทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญ
   
หอพระรัตนตรัย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร
   
พระมณฑปจัตุรมุข สร้างครอบพระอุโบสถเก่า เมื่อปี พ.ศ.2536 ภายในประดิษฐาน "หลวงพ่อดำ" พระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
   
พระอุโบสถ พระอุโบสถ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ มีขนาดกว้าง 17 เมตร ยาว 36 เมตร มีเขตพัทธสีมา กว้าง 24 เมตร ยาว 43.50 เมตร เป็นอาคารแบบประเพณีนิยม ก่ออิฐถือปูน ลักษณะพระอุโบสถมีขนาดสูงใหญ่ มีเสาพาไลรองรับ ชายคาเสาเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ไขราเป็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นงานไม้ประดับกระจกสีลายดอกพุดตาน ซุ้มประตูและหน้าต่างตกแต่งด้วยงานปูนเป็นซุ้มเรือนแก้ว หลังคาซ้อนกัน 2 ชั้น มีกำแพงแก้ว รอบพระอุโบสถ ที่มุมกำแพงแก้วมีเจดีย์ทั้งสี่มุม
   
ศาลารายสุชาดา ตั้งอยู่ด้านซ้ายพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ปางไสยาสน์ ใช้เป็นสถานที่สวดมนต์ และปฏิบัติธรรม สำหรับพระภิกษุสามเณร และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
   
ศาลารายเภาลีนา ตั้งอยู่ด้านขวาพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ปางสมาธิ ใช้เป็นสถานที่สวดมนต์ และปฏิบัติธรรม สำหรับพระภิกษุสามเณร และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
   
พิพิธภัณฑ์สักทอง อาคารพิพิธภัณฑ์สักทอง ลักษณะทรงปั้นหยาประยุกต์ 2 ชั้น กว้าง 16.75 เมตร ยาว 30.15 เมตร ใช้เสาไม้สักทองทั้งหลัง ขนาดเสา 2 คนโอบ มีอายุประมาณ 479 ปี ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนา อนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติในด้านสถาปัตยกรรม ภายในจัดแสดงรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งเท่าพระองค์จริงของสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 19 พระองค์ และประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา
   
อาคารเทวราชธรรมสถิต เป็นอาคารทรงปั้นหยาประยุกต์ 3 ชั้น ขนาดกว้าง 9.50 เมตร ยาว 16 เมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา พ.ศ. 2554 และเป็นอาคารสำหรับพระภิกษุสามเณรใช้ในการประกอบศาสนกิจและศึกษาเล่าเรียน
   
หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ประดิษฐานอยู่ภายในพระมณฑปจตุรมุข
   
พระพุทธดาวดึงส์เทวราช พระพุทธรูปสำริดปางอุ้มบาตรสมัยอยุธยา
   
พระพุทธจักรพรรดิ พระพุทธรูปโบราณยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น
   
พระวิหาร ประดิษฐานพระพุทธรูปสมัยต่าง ๆ ทำด้วยทองเหลืองลงรักปิดทอง ขนาดหน้าตัก 19 นิ้ว สูง 43 นิ้ว จำนวน 9 องค์
   
พระพุทธเทวราชปฏิมากร พระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา ประดิษฐานบนฐานชุกชี ขนาดหน้าตักกว้าง 4.35 เมตร สูงตั้งแต่ทับเกษตรถึงยอดเปลวรัศมี 5.65 เมตร ฝีมือช่างสมัยทวารวดี เป็นองค์ประธาน นิยมถวายผ้าไตรแทนดอกไม้ ธูป เทียน เพราะเชื่อว่าจะสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในการกราบขอพรเป็นเท่าทวีคูณ
   
ที่ตั้งของวัด

เลขที่ 90 ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

โทร. 02-281-2430

การเดินทาง