โครงการวิจัยสนับสนุนงานมูลฐาน ปีงบประมาณ 2568
(Fundamental Fund)

การเดินทางเสมือนจริงเพื่อสืบสานและเรียนรู้ทุนทางวัฒนธรรม
เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

วัดราชาธิวาสวิหาร

หน้าแรก
ที่มาของโครงการ
วัตถุประสงค์
ประโยชน์ของโครงการ
ทีมผู้วิจัย
 
 
แบบประเมินความพึงพอใจ

 

ที่มาของวัด วัดราชาธิวาสวิหาร เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ พัฒนาโดยพระบรมราชูปถัมภ์ จากพระมหากษัตริย์ไทยในราชจักรีวงศ์มาโดยลำดับ เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย และเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีมาโดยตลอด มีสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรวิหาร และเป็นพระอารามหลวงฝ่ายธรรมยุต สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1820 และผูกพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. 2310
   
ศาลาโบสถ์แพ สมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับอยู่ที่วัดราชาธิวาสวิหารวิหาร ทรงให้สร้างแพขึ้นในแม่น้ำเจ้าพระยา แพนั้นสร้างเป็นรูปศาลามีฝาผนัง มีหลังคา เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำสังฆกรรม เรียกว่า “อุทกุกเขปสีมา” แพนั้นจึงเรียกว่า “ศาลาโบสถ์แพ” ต่อมาเจ้าอาวาส เห็นว่าศาลาโบสถ์แพเป็นศาสนสถานสำคัญ แต่อยู่ในแม่น้ำคงจะไม่เหมาะในกาลข้างหน้า จึงชักชวนอุบาสกอุบาสิกา และเจ้านายฝ่ายหน้าฝ่ายในช่วยกันบริจาคสมทบทุนสร้างศาลาโบสถ์แพขึ้นใหม่ บนพื้นดินภายในวัด (คณะเหนือ) โดยจำลองรูปแบบโบสถ์แพกลางน้ำ
   
หลวงพ่อนาค พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระศิลาปางนาคปรก ศิลปะลพบุรี ได้อัญเชิญมาจากจังหวัดลพบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 6
   
ศาลาการเปรียญไม้สักทอง ศาลาการเปรียญไม้สักทองทั้งหลัง ที่มีความวิจิตรบรรจง หลังคาเป็นช่อฟ้าใบระกา อยู่ทางด้านหน้าวัด เป็นอาคารสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงให้สร้างเลียนแบบศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี เสาเป็นไม้ขนาดใหญ่ หลังคามุงกระเบื้อง ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ มีมุขและมุขลดทั้งหน้าหลัง หน้าบันทั้ง 2 ด้าน มีตราเครื่องหมายเป็นสำคัญ คือ ด้านหน้า มีตราจุลมงกุฎ หรือพระเกี้ยว อันเป็นพระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 5 ด้านหลัง มีตราวชิราวุธ อันเป็นพระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 6 ศาลาการเปรียญหลังนี้
   
พระอุโบสถ พระอุโบสถ เป็นทรงขอมคล้ายนครวัด แต่เป็นลวดลายปูนปั้นผินหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งมีแน่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นทางสัญจรสำคัญครั้งโบราณเป็นหน้าวัด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงออกแบบ ด้านหน้ามีประตู 3 ช่อง มีห้องเป็น 3 ตอน ห้องหน้าเป็นระเบียง ห้องกลางเป็นห้องพิธี มีพระสัมพุทธพรรณีเป็นพระประธาน มีเศวตฉัตร 9 ชั้น (ร. 5 หล่อพระราชทาน) หลังพระประธานเป็นซุ้มคูหา เบื้องบนมีภาพพระพุทธเจ้าอยู่เหนือเมฆกำลังตอบปัญหาของพระสารีบุตรและพระอินทร์เฝ้าที่ใกล้พระประธานมีรูปศากยกษัตริย์พระประยูรญาติมาเฝ้าอยู่เบื้องหลัง
   
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงร่างแบบและให้จิตรกรรมชาวอิตาลีนาม คาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) เป็นผู้ขยายแบบและลงสีโดยใช้เทคนิคการลงสีแบบเฟรสโกหรือการเขียนสีบนปูนเปียก ซึ่งเป็นเทคนิคการเขียนของโลกตะวันตก นอกจากนี้ ภาพที่ถูกเขียนยังมีความสมจริงทั้งฉาก บุคคล ธรรมชาติ ถือเป็นครั้งแรกที่จิตรกรรมฝาผนังเนื่องในพุทธศาสนาถูกเขียนด้วยเทคนิคแบบนี้ โดยเรื่องราวทั้ง 13 กัณฑ์ถูกแบ่งเขียนลงทั้งผนังเหนือช่องประตูและหน้าต่างและผนังระหว่างกลาง บางตอนเขียนเต็มช่อง บางตอนเช่นกัณฑ์ทศพรเขียนแทรกกับตอนอื่น บางตอนเช่น กัณฑ์จุลพนที่ชูชกถูกสุนัขของพรานเจตบุตรไล่จนต้องหนีขึ้นต้นไม้ก็แบ่งเป็น 2 ช่องต่อกัน
   
พระสัมพุทธพรรณี พระประธาน ในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
   
พระเจดีย์สีขาว พระเจดีย์ ประดิษฐานอยู่หลังพระอุโบสถเป็นพระเจดีย์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อถึงรัชกาลที่ 5 โปรดให้ปฏิสังขรณ์ใหม่เป็นรูปทรงเลียนแบบสมัยศรีวิชัย ครอบพระเจดีย์องค์เดิม ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างต่อโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์เป็นผู้ควบคุมการออกแบบและการก่อสร้าง ได้ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาแบบมหายานในซุ้มคูหาทั้ง 4 ทิศ ฐานด้านล่างมีรูปปั้นสิงห์ที่เรียงรายอยู่โดยรอบฐานพระเจดีย์
   
พระตำหนักสี่ฤดู พระตำหนัก 4 ฤดูนี้ เป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่เป็นแบบตึก สร้างขึ้นโดยจำลองพระตำหนัก 4 ฤดู ในวังสุโขทัยที่รื้อออกไป มีวัสดุที่นำมาประกอบได้เพียงประตูและหน้าต่างเท่านั้น ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2498 ตัวอาคารเป็นตึกคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระอุโบสถเป็นอาคารสองชั้น ๆ ล่างแบ่งเป็น 3 ห้อง ส่วนกลางเป็นห้องโถง ห้องด้านขวาเป็นที่ตั้งสำนักงานจัดผลประโยชน์ของวัด ห้องซ้ายใช้สำหรับเก็บสัมภาระและเป็นที่อยู่อาศัยของศิษย์วัด ชั้นบนสร้างเป็นรูปแบบเดียวกับชั้นล่าง แต่ห้องโถงตรงกลางจัดเป็นห้องไหว้พระสวดมนต์ ห้องซ้าย-ขวา เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุ เดิมทีสถานที่ตรงที่พระตำหนัก 4 ฤดู ตั้งอยู่นี้ เป็นสระน้ำและภายในสระน้ำนั้นมีอาคารหอไตร แต่เมื่อใช้สถานที่สร้างพระตำหนักก็ต้องย้ายหอไตรไปอยู่อีกแห่งหนึ่งทางด้านตะวันออกสุดของคณะใต้ (หลังพระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ)
   
พระตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวง พระตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวง (พระตำหนักพญาไท) เดิมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้ย้ายมาจากพระราชวังพญาไท ทั้งหลังมาสร้างขึ้นที่วัดราชาธิวาสวิหารวิหาร นี้ เมื่อ พ.ศ. 2475
   
พระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของพระอุโบสถ (คณะใต้) ได้รับการปฏิสังขรณ์มาถึงปัจจุบัน เป็นรูปตึกครึ่งไม้ หลังคาเป็นช่อฟ้าใบระกา มี 5 ห้อง มีเฉลียงรอบ รูปทรงคงไว้ตามเดิม ซึ่งเป็นไม้โดยตลอด กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ได้ทรงสร้างถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสำหรับเป็นกุฏิที่ประทับครั้งยังทรงผนวชอยู่ เดิมที่ตั้งพระตำหนักหลังนี้อยู่ทางทิศใต้ของพระอุโบสถ ห่างจากกำแพงแก้วประมาณ 20 เมตร ในแนวเดียวกัน ชั้นบนกั้นเฉพาะรอบใน 5 ห้อง รอบนอกเป็นเฉลียงเดินได้รอบ หลังคาทรงไทยมีช่อใบระกา ด้านทิศตะวันออกของพระตำหนัก ซึ่งปัจจุบันเป็นสนามหญ้า
   
ตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวง ตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวง เดิมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถ รัชกาลที่ 7 โปรดให้ย้ายมาจากพระราชวังพญาไททั้งหลัง มาสร้างขึ้นที่ วัดราชาธิวาสวิหารวิหารนี้ เมื่อ พ.ศ. 2475
   
ที่ตั้งของวัด

แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

โทร. 02-668-7988

การเดินทาง